Monday, August 10, 2015

แม่ของฉัน [ My Hero ]


Happy mother's Day











                                     
 ในวันแม่นี้ ฉันอยากบอกว่า รักแม่มาก แม่เป็นคนที่เลี้ยงดูฉันตั้งแต่เล้กจนโต ที่ฉันมีวันนี้ได้เพราะแม่ 
แม่คอยให้ความรัก คอยดูแลยามป่วยไข้ คอยสนับสนุนฉันตลอดมา แม่เป็นฮีโร่ของฉัน ไม่ใช่แค่วันแม่ แต่แม่จะเป็นฮีโร่ของฉันตลอดไป ❤ 


❤  กลอนวันแม่ ❤  


ทุกคนต้องมีวันที่ประทับใจ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีวันลบเลือน
ภาพวันที่ดีวันนั้นยังคงย้ำเตือน
เกิดขึ้นได้เสมือนเมื่อวันวานเพิ่งผ่านไป

ฟ้าและเมฆช่างงามเฉิดฉันท์
งามกว่าทุกวันเหมือนฝันโลกพลัดสดใส
นก แมลง ส่งเสียงก้องกังวานไพร
ต้อนรับวันฉันอยู่ในอ้อมกอดมารดา

อบอุ่นจังเลย อบอุ่นในหัวใจ
กว่าห่มผ้าผืนใดทีมีในห้วงเวหา
เมื่อใจสองเราซาบซึ้งเป็นหนึ่งชีวา
ฉันบอกรักแม่เท่าฟ้าผ่านดวงตาและยิ้มละไม

อากาศอาจผ่านได้ทุกสิ่ง
จะแข็งแรงยิ่งกว่าภูผาหรือต้นไม้
แต่หว่างอ้อมกอดแม่นั้นไม่เหมือนที่ใด
อากาศยังผ่านไม่ได้ด้วยใจรักแลพผูกพัน









❤ ❤  Thank you for visit our a little love ❤ ❤ 


Wednesday, July 29, 2015

ประเทศลักเซมเบิร์ก Luxembourg ❥



ลักเซมเบิร์ก ประเทศเดียวในโลกที่ยังคงมีตำแหน่งแกรนด์ดยุคอยู่ โดยเป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างเบลเยี่ยม ฝรั่งเศสและเยอรมนี มีขนาดเมื่อวัดตามความยาวเพียง 50 ไมล์ ขณะที่มีความกว้างเพียง 32 ไมล์ แม้ว่าจะมีพื้นที่เพียงไม่มากแต่ลักเซมเบิร์กถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจากจำนวนของชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ซึ่งมากที่สุดในประเทศกลุ่มยุโรป นอกจากนี้ภูมิประเทศยังมีความหลากหลายอีกด้วย
ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขายาวสุดลูกหูลูกตา ป่าไม้เขียวขจีและไร่องุ่น ขณะที่ทางภาคเหนือของประเทศคุณจะพบกับการก่อตัวของหินทรายรูปร่างแปลกประหลาด ป่าไม้อุดมสมบูรณ์และหุบเขา
ลักเซมเบิร์กซิตี้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีสถานที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศนี้มากมาย ลักเซมเบิร์กซิตี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือย่านเมืองเก่าซึ่งได้กลายเป็นหนี่งในมรดกโลก เพราะหอคอยเก่าแก่ ป้อมปราการตระหง่าน รวมไปถึงซอกซอยอันสวยงาม และย่านเมืองใหม่ Plâteau du Kirchberg สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในเมืองนี้นอกจากความแตกต่างของเมืองทั้งสองส่วนแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ชื่อดัง แหล่งช็อปปิ้งสุดหรู ร้านอาหารหลากหลายเชื้อชาติ รวมไปถึงแหล่งบันเทิงยามราตรีที่มีอยู่มากมายในเมืองนี้
ลักเซมเบิร์อาร์เดนเนสซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอันดับสอง โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งเช่นการเล่นสกีในฤดูหนาว หรือจะเป็นการปีนเขาและตกปลาในช่วงฤดูร้อน เมืองที่มักจะเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวได้แก่ Clervaux, Vianden และ Wiltz ซึ่งที่พักในเมืองเหล่านี้มีพร้อมรอให้คุณเข้าไปสัมผัสถึงมนต์เสน่ห์ของภาคเหนือของลักเซมเบิร์ก
Moselle Valley ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตไวน์สำคัญของประเทศตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คุณจะได้พบกับโรงงานผลิตไวน์มากมายซึ่งสามารถเข้าไปเยี่ยมชมและชิมสินค้าของแต่ละแห่งได้ นอกจากนี้ที่ Moselle Valley ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเช่นการเล่นเรือสำหรับคุณอีกด้วย
ย่านเมืองเก่า อาทิ Müllerthal และ Echternach ซึ่งอยู่ห่างจากลักเซมเบิร์กซิตี้ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็มีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างการเดินป่า การปั่นจักรยานและการปีนผาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากนี้ในตัวเมืองยังมีสถานที่น่าสนใจให้คุณเข้ามาใช้เวลาได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย
ชาวลักเซมเบิร์กค่อนข้างจะรักสงบ คุณจะได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีการผสมผสานของวัฒนธรรมหลายชนชาติ ขณะท่องเที่ยวในลักเซมเบิร์ม คุณสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ แต่หากคุณสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วย คุณอาจจะได้รับการบริการที่ดีมากยิ่งขึ้น
ที่พักในลักเซมเบิร์กมีหลายระดับตั้งแต่โรงแรมห้าดาวไปจนถึงเกสเฮาต์หรือห้องพักเล็กๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศให้คุณเลือก
คุณควรจองโรงแรมก่อนที่จะเดินทางไปยังลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะที่พักในลักเซมเบิร์กซิตี้ซึ่งมีราคาเริ่มตั้งปานกลางขึ้นไป
การเดินทางไปยังลักเซมเบิร์กนั้น สามารถทำได้โดยการโดยสารเครื่องบินไปลงยังสนามบินนานาชาติของประเทศ โดยมีเที่ยวบินจากทั่วยุโรปรวมไปถึงเมืองใหญ่ๆ จากทั่วโลก นอกจากนี้คุณยังสามารถขับรถหรือนั่งรถไฟมาจากฝรั่งเศส เยอรมนีและเบลเยี่ยมได้อีกด้วย

_________________________________________________________

F O O D 
         


N I G H T L I F E

F E S T I V A L


_________________________________________________________

สามารถเข้าไปดูสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้ได้ > ที่นี่ <  
บล็อกที่เกี่ยวข้อง ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก



Monday, July 20, 2015

ตำนานมนุษย์หมาป่า [ Were Wolf ]




มนุษย์หมาป่า (อังกฤษ: Werewolf, Lycanthrope) เป็นผีตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง จัดเป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์หรือผีดิบดูดเลือดชนิดหนึ่ง คือ เป็นผีที่สามารถแปลงร่างเป็นทั้งมนุษย์และหมาป่าได้ อาหารของมนุษย์หมาป่าก็คือ เนื้อและเลือดสด ๆ ของมนุษย์ โดยจะออกหากินในเวลากลางคืน เหยื่อโดยมากจะเป็นเหยื่อที่มาเพียงคนเดียว






มนุษย์หมาป่ามีทั้งที่เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งหมาป่า และกลายร่างเป็นหมาป่าทั้งตัว เชื่อกันว่ามนุษย์หมาป่าสามารถกลับหนังของตนเข้าข้างในเพื่อหลบซ่อนขนหมาป่าเมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์หมาป่าจะถูกถลกหนังออกเพื่อล่าเอาหนังหมาป่าไว้ วิธีทดสอบว่าผู้ใดเป็นมนุษย์หมาป่าหรือไม่นั้นสามารถจำแนกได้จากรูปลักษณ์ภายนอก ผู้ที่เป็นมนุษย์หมาป่านั้นจะมีขนระหว่างคิ้วหนาและยาวจนเกือบจรดกันตรงระหว่างคิ้ว ใบหูเล็กและปลายเรียวแหลม นิ้วกลางทั้งสองข้างมักสั้นเกือบเท่านิ้วชี้ และที่สำคัญคือ มีขนที่ฝ่ามือด้วย


มนุษย์หมาป่า จะกลับร่างกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเมื่อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนักล่าแวมไพร์สามารถที่จะตามรอยเลือดได้ วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่า คือ การยิงด้วยลูกปืนหรือแทงด้วยใบมีดที่ทำมาจากเงิน และจะต้องเป็นเงินที่หลอมมาจากกางเขนเงินด้วย ศพของมนุษย์หมาป่าควรนำไปเผาดีกว่าฝัง เพราะนำไปฝังอาจทำให้มนุษย์หมาป่ากลับคืนร่างมาเป็นแวมไพร์หรือมนุษย์หมาป่าได้อีกครั้ง


เชื่อกันว่า ผู้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเป็นเพราะถูกสาปหรือเกิดจากอุบัติเหตุที่น่าสยดสยอง บุคคลนั้นต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าทุกค่ำคืน หรือในทุกวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีเดียวที่จะหยุดการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ คือ ความตายเท่านั้น


ความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่ามีอยู่ทั่วโลก มีอาการป่วยทางประสาทประเภทหนึ่งที่หาได้ยาก เรียกว่า "Lycanthropy" (/ไล-เคน-โทร-ฟี่/) ซึ่งเป็นอาการที่เป็นที่รู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นอาการที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองสามารถกลายร่างเป็นหมาป่าได้ ทั้งที่ไม่สามารถทำได้ แต่ก็มีกิริยาอาการแบบเดียวกับหมาป่า เที่ยวฆ่าผู้อื่นและกินเนื้อที่เหยื่อที่ตนฆ่าทิ้ง













ในเทพปกรณัมของชาวไอริชเล่าว่า มีนักบวชผู้หนึ่งหลงทางอยู่ในป่า พบหมาป่านั่งอยู่ข้างกองไฟ หมาป่าตัวนี้สามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ หมาป่าได้ขอให้นักบวชอวยพรให้กับภรรยาของตนซึ่งกำลังใกล้จะตาย หมาป่าอธิบายว่า ครอบครัวของตนถูกสาปให้ทั้งหญิงและชายอย่างละหนึ่งคน จะต้องกลายร่างเป็นหมาป่าทั้งหมด 7 ปี ถ้าว่าถ้าครบ 7 ปีแล้วยังมีชีวิตอยู่ก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม แต่นักบวชไม่เชื่อ จนกระทั่งหมาป่าตัวเมียจึงฉีกหนังหมาป่าออกเผยให้เห็นเป็นร่างของหญิงสาวที่อยู่ภายใน






สถานที่ท่องเที่ยวจากภาพยนตร์ดัง

♔              

ปราสาทแอนิค ประเทศอังกฤษ 
จากภาพยนตร์ชุด 
Harry Potter and the sorcerer's stone
(2001-2011)





เมือง Salzburg ประเทศออสเตรีย
จากภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music(1965)








เกาะ Skiathos ประเทศกรีซ
จากภาพยนตร์เรื่อง Mamma
Mia! (2008)




ประเทศไอซ์แลนด์
 จากซีรี่ส์ชุด Game of Thrones (2011-ปัจจุบัน)




ลาสเวกัส จากภาพยนตร์ The Hangover ( 2009-2013 )






ประเทศนิวซีแลนด์ จากภาพยนตร์ชุด
The Lord of the Rings (2001-2003)





new zealand queenstown valley landscape nature wallpaper background


posted by Parn

Thanks : Dek-d.com

♔         



ราเมนแปลก ณ ญี่ปุ่น [ Japanese Crazy Ramen ]

ราเมนเลมอน ร้านรินสึสึโชะคุโด (レモンラーメン りんすず食堂)





ราเมนกาแฟ ร้านอะโรมา (コーヒーラーメン 亜呂摩)







ราเมนสีเจ็บ(ราเมนเปลี่ยนสี) ร้านคิคุยะ (色が変化するラーメン 菊や)







ราเมนสีเขียวจากตัว "ยูกลีนา” ร้านยะมะเทะ (みどりラーメン 山手ラーメン安庵)







ราเมนสับปะรด ร้านพายน์ (パイナップルラーメン パパパパパイン)






Posted by Parn


Thanks :: Dek-d.com


Thank you for visiting
❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

Monday, July 13, 2015

ปริศนาอนัสตาเซีย♰ [ The Secret of romanov ]



ในปี ค.ศ. 1917 พรรคสังคมนิยมแห่งรัสเซียหรือที่เรียกกันว่า บอลเชวิค ได้หนุนให้เลนินขึ้นครองประเทศหลังจากปฏิวัติสำเร็จ เลนินจึงจัดการเอาพระเจ้าซาร์และบรมนุวงศาไปคุมขังไว้ ณ  พระราชวัง ฤดูร้อนซาร์โกเซโล แล้วโยกย้ายไปไว้ที่โตบอลสก์ ในไซบีเรีย ท้ายสุดก็นำมาขังไว้ ณ ปราสาทอิปาเทียฟ ในอีคาเตรินเบิร์ก แต่เลนินวางแผนจะให้มีการพิพากษาความผิดของราชวงศ์ แต่พอได้ข่าวว่ากองทหารที่ยังสวามิภักดิ์ต่อซาร์เตรียมบุกเข้ามาช่วยเลนิ นจึงเปลี่ยนใจ สั่งให้ประหารให้หมดและทำลายล้างมิให้เหลือซาก

เหตุการณ์สยดสยองคืนนั้นเป็นดังนี้


เที่ยงคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 เจ้าหญิงอนัสตาเซียถูกปลุกให้ตื่นบรรทม


"แต่งองค์เร็ว! เกิดยิงกันวุ่นวายข้างนอกลงไปเตรียมองค์รวมกันข้างล่างจะปลอดภัยกว่า!"


เจ้าหญิงรีบฉวยฉลองพระองค์มาสวม สร้อยพระศอไข่มุกล้ำค่าเกี่ยวติดชายกระโปรงมาด้วยทรงไม่สนใจกับเสื้อหนาว เพราะคืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว แม้ว่ากระดุมเสื้อหนาวตัวนั้นจะทำด้วยเพชรก็ตาม


ข้างล่างนั้นพระบิดาพระมารดาและคนอื่น ๆ พร้อมอยู่แล้ว โดยมีเหล่าเรดการ์ดยืนคุมอยู่ แสงตะเกียงดวงเดียวที่แขวนไว้ทำให้เกิดเงาทาบทับผนังห้องโถงใหญ่หลังคาโค้ง นั้น เสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกคันหนึ่งดังแว่วมาจากด้านนอก


เจ้าหญิงและพระญาติรวมกลุ่มกันอยู่มุม หนึ่งของห้อง นับแต่พระเจ้าซาร์นิโคลาส ที่ 2 ผู้ประทับนั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ที่นั่งถัดไปทางขวาของพระองค์ก็คือ อเล็กไซ โอรสผู้อ่อนแอจากการเบียดเบียนของโรคฮีโมฟีเลีย ดร.บ็อทกิน แพทย์ประจำราชวงศ์และเป็นพระสหายสนิทของซาร์ยืนถัดไป ผู้นั่งด้วยท่าทีหวาดหวั่นอยู่ข้างหน้าของทั้งสองก็คือเจ้าหญิงอเล็กซานดรา หลานย่าของควีนวิคตอเรียและมเหสีของซาร์ ส่วนพระราชะดาทั้งสี่ โอลก้า, ทาเทียนา,มาเรีย และอนัสตาเซีย ประทับยืนแวดล้อมพระมารดานอกนั้นก็มี เดมิโควา พี่เลี้ยง,มหาดเล็กรับใช้ และพ่อครัวยืนอยู่ทางด้านหลัง


และในทันใดนั้นเอง อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันยูรอฟสกี้ ตำรวจลับบอลเชวิค ผู้โหดเหี้ยมก็ก้าวเข้ามาเขาร้องตวาดด้วยเสียงดังลั่นห้องโถงใหญ่


"นิโคไล อเล็กซานโดรวิช ลูกน้องของเจ้าก่อการกบฏ แต่มันก็ล้มเหลวไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าจะต้องถูกประหาร!"


"อะไรกัน!" พระเจ้าซาร์ทรงอุทานตะลึงงัน


"นี่ไงล่ะ!" ยูรอฟสกี้กกรีวอลเวอร์ขึ้นส่องตรงไปยังซาร์ พระมเหสีและธิดาต่างยกหัตถ์กุมอุระ ตาเบิกโพลง ยูรอฟสกี้ลั่นไก พระเจ้าซาร์ฟุบสวรรคตลงกับที่ประทับ ลูกน้องของยูรอฟสกี้ซึ่งเป็นชนลัตเวียต่างก็ลั่นกระสุนเข้าใส่พระราชวงศ์ที่เหลือ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายร่วงผล็อยลงกับพื้นราวกับใบไม้หล่นจากต้น ควันปืนยังไม่ทันจาง เหล่าผู้ปลงพระชนม์ก็กรูกันเข้ามาแกะทิ้งสมบัติติดกายกระศพ ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน กำไล นาฬิกา ฯลฯ ประหนึ่งเป็นรางวัลจากปฏิบัติการที่ได้กระทำไป จากนั้นก็รีบช่วยกันยกร่างของเหยื่อขึ้นเปลหามนำออกไปยังรถบรรทุกที่รออยู่ ด้วยความรีบร้อนจึงไม่มีผู้ใดตรวจสอบว่าร่างทั้งหลายนั้นตายสนิทแล้วหรือไม่ แม้แต่จำนวนศพก็มิได้นับ


จุดหมายปลายทางที่บรรทุกไร้ชีวิตเหล่านั้นไปก็คือเหมือนร้างในป่า ศพทั้งหมดถูกนำลงมากองกับพสุธา ยูรอฟสกี้สั่งให้เอากำมะถันกับน้ำมันทราดศพจนโชกแล้วแล้วจุดไฟเผา เมื่อรอจนไฟมอดแล้วจึงเอาเถ้าและซากที่เหลือทิ้งลงในหลุมลึก


และนี่ก็คือวาระสุดท้ายของราชวงศ์โรมานนอฟซึ่งปกครองรัสเซียมานานกว่า ๓๐๐ ปี

แต่ทว่าเรื่องนี้มิได้เงียบหายไปดั่งที่เหล่าฆาตกรประสงค์ ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดว่ามีศพหนึ่งหายไปและมีหลักฐานหลายอย่างระบุว่าเจ้า หญิงอนัสตาเซียได้หนีรอดไปได้จากการปลงพระชนม์หมู่ครั้งนี้ ทางการโซเวียตก็เต้นซีครับ ส่งตำรวจลับออกสืบสวนตามล่าจ้าละหวั่น ทั้งในทะเลบอลติด โรนาเนีย ไปจนกระทั่งไซบีเรีย ค้นกระจุยทั้งในอาคารที่พักอาศัยและโรงพยาบาลทุกแห่ง หมายจับถูกส่งไปทั่ว รวมทั้งผู้ที่ต้องสงสัยว่าให้ความช่วยเหลือราชวงศ์ด้วย ใครที่มีท่าพิรุธแม้นิดเดียวเป็นโดนยิงทิ้งทันที


ตามข่าวลือเท่านั้น ตำรวจลับสองนายที่หามร่างเหยื่อไปขึ้นรถบรรทุก ได้สังเกตเห็นว่าร่างของเจ้าหญิงอนัสตาเซียผู้ได้รับบาดเจ็บที่เศียรนั้นยัง มีลมหายใจรวยริน ทั้งคู่ได้แอบพาร่างบาดเจ็บนั้นเล็ดลอดอาศัยความมืดและความชุลมุนไปยัง กระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งห่างจากอิปาเทียฟ ๑๘๐ เมตร วางร่างเธอไว้ แล้วรีบกลับมาเข้ากลุ่มโดยไม่มีใครทันตระหนักรู้


แม้บอลเชวิคจะตามล่าสุดเหวี่ยง แต่ก็ไม่ได้ผลคืบหน้าแต่อย่างไร ข่าวนี้จึงค่อย ๆ เงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง


กระทั่งเวลาผ่านไปราวสองปี หญิงผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อในหนังสือเดินทางว่า แอนนา-ไชคอฟสกี้ โดดน้ำตายที่กรุงเบอร์ลินในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ 1920 ทว่ามีผู้ช่วยเธอเอาไว้ได้ หลังรอดตายหญิงผู้นี้ได้อ้างว่าที่แท้ตนเองนั้นก็คือเจ้าหญิงอนัสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ผู้รอดมาจากการประหารหมู่ครั้งนั้นนั่นเอง


ข่าวนี้ก่อความตื่นเต้นให้กลับคืนมาอีก บางคนก็เชื่อ แต่บางคนก็คิดว่าเธอโกหก เธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นดังนี้


หลังถูกยิง เธอจำได้คร่าวๆ ว่าถูกหามขึ้นเกวียนเส้นผมชุ่มไปด้วยโลหิต เธอยังไม่หายจากความหวาดผวาต่อการประหารหมู่ที่เห็นกับตา เสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่พี่น้อง เมื่อกลับพื้นคืนสติอีกครั้งเธอก็พบว่าตนอยู่ในความดูแลของบุคคลแปลกหน้า 4 คน คนผู้หญิงวัย 40 กว่า ชื่อ มาเรีย เป็นมารดาของอีก 3 คน คือ อเล็กวานเดอร์, เซอร์ไก และ เวโรนิกา สกุลของพวกเขาคือ ไชคอฟสกี้ และเป็นเรดการ์ดของเมืองอีคาเตรินเบิร์ก


เธอนึกได้ลางเลือนว่าถูกนำตัวเดินทางไปไกล ผ่านป่าสนทึบ ผ่านไปบนถนนสายยาวอันเปล่าเปลี่ยวนานนับเดือน บางครั้งไข้ขึ้นสูง ศีรษะปวดรวดร้าวแผลที่แขนระบม รวมทั้งใบหน้าและปากด้วย บ่อยครั้งที่ถูกเอาลงจากเกวียนอันกระเทือนและใช้วิธีอุ้มแทนความรู้สึกของเธอเหมือนตายมากกว่าเป็น ยามเมื่อพายุหิมะกระหน่ำ เธอจะถูกห่อหุ้มร่างด้วยผ้าหนา ๆ และอาจต้องขอกระท่อมชาวนาพักชั่วคราว แม้จะหวาดผวาต่อการถูกติดตาม และการหลักหลังจากผู้ที่พวกเธอไปขอความช่วยเหลือ




ผู้ที่ได้พบเห็นการลี้ภัยระหกระเหินครั้งนี้มีอาทิ


ฮาสเซ็นสไตน์ นายทหารเยอรมันผู้เฝ้ารักษาการ์ณฝั่งแม่น้ำบัก เขาได้อนุญาตให้คณะลี้ภัยข้ามแม่น้ำไปได้


ซาชา เกรกกอเรียน ชาวอเมริกัน ผู้อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดนีสเตรอะ บันทึกไว้ว่า "...ก่อนข้ามแม่น้ำจากฟากรัสเซียไปสู่โรมาเนีย (5 ธ.ค. 1918) ผมได้ยืนเคียงข้างกับเจ้าหญิงอนัสตาเซียแห่งโรมานอฟผู้รอดมาได้โดยความช่วย เหลือของเรดการ์ด..."


และเมื่อถึงแม่น้ำเรสินา คณะลี้ภัยก็ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตองครักษ์ของซาร์ผู้หนึ่ง ซึ่งช่วยนำไปส่งจนถึงนครบุคาเรสท์ และที่นี่เองทุกคนจึงเริ่มปลอดภัยจากเงื้อมมือของพวกบอลเซวิค


เธอขายสร้อยไข่มุกเพื่อนำเงินมายังชีพ และแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ มีลูกด้วยหนึ่งคน แต่การแต่งงานนี้ทำให้สถานภาพของเธอเปลี่ยนแปลงไปเธออาจไม่เป็นที่ยอมรับจาก ราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรปแต่เธอก็ตัดสินใจแล้ว


หากเคราะห์ของเธอกลับทรุดหนักลงอีก อเล็กซานเดอร์สามีถูกตำรวจลับบอลเชวิคลอบสังหารสิ้นชีพกลางถนน เซอร์ไกพาเธอระหกระเหินต่อไปยังนครเบอร์ลิน ลูกของเธอถูกนำไปฝากเลี้ยงยังสถานเด็กกำพร้า จากนั้นเซอร์ไกก็หายตัวไป เธอสิ้นหวังในชีวิตและโดดน้ำตาย


เรื่องของเธอเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ผู้คนพากันมาซักไซ้ไต่ถาม เสาะหาความจริง จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้จึงปิดปากสนิท ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ อีก ต่อไป หลายอาทิตย์หลังการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอลิซาเบ็ธ เธอก็ถูกโยกย้ายไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตดอลล์ดอร์ฟ ที่นั่นเธอถูกระบุว่าเป็นบ้า! วันนั้นคือวันที่ 30 มีนาคม 1912


ชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตเป็นไปด้วยความขมขื่น แวดล้อมด้วยคนไข้ที่สติไม่สมบูรณ์ เธอนอนซมอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา หันหน้าเข้าฝา


คลารา มาเรีย พุทเฮิร์ท อดีตแม่บ้านแห่งราชวังของซาร์เผอิญถูกส่งมารักษาตัวที่นี่ด้วย นางจำได้ทันทีว่าเธอคือธิดาองค์หนึ่งของซาร์ แต่จำผิดว่าเป็นทาเทียนา ถึงช่วงนี้ข่าวของเธอก็ไปถึงหูของบอลเชวิค ตำรวจลับเริ่มเข้ามากรุยกรายสืบข่าวเธอ


และแล้ว บารอนเนส อิซา บักซ์โฮฟเดน อดีตนางสนองพระโอษฐ์ซาร์ก็ถูกเจ้าหญิงไอรีน แห่งปรัสเซีย ป้าของอนัสตาเซีย ส่งตัวมาเยือนนางไชคอฟสกี้ เพื่อหาข้อเท็จจริง หากว่าบารอนเนสไม่สามารถจำเธอได้ นั่นเป็นเพราะเป็นความลำบากแสนสาหัสในเคราะห์กรรมได้เปลี่ยนโฉมเจ้าหญิงสาว สวยให้กลายเป็นหญิงที่แก่เกินอายุจริง 21 ปี ของเธอ ฟันหน้าทั้งแถบนั้นถูกกระสุนไรเฟิลกระจุยไม่เหลือ ทำให้แก้มของเธอตอบ การไม่ยอมรับของบารอนเนสครั้งนี้ทำให้เรื่องของเธอถูกลดความเชื่อถือไปอีกมาก


อยู่ที่โรงพยาบาลดอลล์ดอร์ฟสองปี เธอก็ออกมาพำนักอยู่กับบารอน ไคลส์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัสเซีย หลังจากนั้น กรุนเบิร์ก ตำรวจเยอรมันผู้ถูกสั่งให้สืบสวนชีวิตของเธอ ก็ได้มาชวนให้เธอไปพักอยู่ด้วยกันกับเขาในคฤหาสน์ชนบท


มาถึงตอนนี้ ผู้ที่สนใจในเรื่องของนางไชคอฟสกี้ก็แบ่งออกเป็น 2 ค่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อ ฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อแต่น่าประหลาดยิ่งที่เชื้อพระวงศ์แห่งรัสเซีย ซึ่งน่าจะสามารถพิสูจน์เธอได้อย่างง่ายดายกลับวางเฉย ปิดปากเงียบไม่เข้ากับฝ่ายใดเสียงงั้นแหละ


กรุนเบิร์กเองก็ไม่อาจยืนยันได้ เขาให้ความเห็นว่า


"สองปีในโรงพยาบาลบ้าได้ทำลายจิตใจของเธอจนหมดสิ้น ประกอบกับกระโหลกศีรษะ ซึ่งกระทบกระเทือนจากกระสุนไรเฟิล ทำให้สมองของเธอสับสน แต่เธอก็ยังยืนยันมั่นคงถึงความเป็นธิดาของซาร์ และสิ่งเดียวที่ยังอยู่ในความทรงจำของเธออย่างละเอียดไม่ผิดพลาด ก็คือเหตุการณ์สะเทือนขวัญในคืนประหารหมู่นั้น"


สุดท้ายป้าของเธอ เจ้าหญิงไอรีนก็เสด็จมาดูด้วยองค์เอง แต่ถึงยามนี้ หญิงผู้อ้างตนเป็นอนัสตาเซียก็ปราศจากความยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ เสียแล้วเธอปฏิเสธที่จะสนทนาหรือรับความช่วยเหลือใด ๆ


ในส่วนของเจ้าหญิงไอรีน ได้ทรงให้ความเห็นว่า


"ผม หน้าผาก และตา เป็นของอนัสตาเซียแต่ปากและคางไม่ใช่ ฉันไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าไม่ใช่เธอ


ก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อปากและคางของเธอนั้นถูกกระสุนไรเฟิลทำลายป่นปี้ โอกาสของอนัสตาเซียหมดไปอีก และนับจากวันนั้นเจ้าหญิงไอรีนก็ปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง


ถัดจาก นั้นไม่นานก็พบว่าเธอเป็นวัณโรคที่ทรวงอกและที่ข้อศอกซ้าย ซึ่งเป็นโรคประจำตระกูลของซาร์ ร่างกายของเธอก็เลยยิ่งโทรมลงไปอีกรวมทั้งจิตใจ


เชื้อพระวงศ์โรมานอฟผลัดกันมาเยือนเธอทีละ คนสองคน แต่เธอก็ไม่ยินดีต้อนรับเสียแล้ว ทุกคนไม่อาจยืนยันแน่ชัดลงไปได้ ข้อหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ให้สงสัยก็คือ เธอพูดอังกฤษไม่ได้ ในขณะที่ภาษาอังกฤษนั้นใช้พูดกันเป็นธรรมดาในวังซาร์ เธอไม่ยอมพูดหรือเขียนภาษารัสเซียด้วย ใช้แต่เยอรมันโต้ตอบแต่ตำรวจลับรัสเซียก็วางกับดักพิสูจน์ได้ง่าย ๆ โดยแกล้งพูดคุยกันเป็นภาษารัสเซีย และสังเกตทีท่าของเธอ เขาพบว่าเธอเข้าใจดีในทุกคำพูดนั้น!


รายละเอียดรูปลักษณ์ของเธอถูกรายงานไปให้ แกรนด์ยุค เออร์เนสต์ ลุงของเธอ ดังนี้


1. ตาปลาที่ นิ้วเท้าทั้งสองเท้า โดยเฉพาะเท้าขวา (อนัสตาเซียก็มี รูปพรรณตรงกัน)

2. แผลเป็น เล็ก ๆ สีขาวที่ไหล่ (อนัสตาเซียก็มีเช่นกัน)
3. รอยปูดที่ โคนนิ้วกลางมือซ้ายเกิดจากประตูรถหนีบ
4. แผลเป็น ที่ขมับขวา (อนัสตาเซียจะหวีเกษาปิดแผลเป็นขมับขวา เสมอ)
5. รอยแผล เป็นหลังใบหูขวาอันเนื่องมาจากกระสุนปืน

คำตอบจากท่านแกรนด์ยุคก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีธิดาองค์ใดของซาร์เหลือรอด


การที่ท่านดยุคปฏิเสธนี้ อาจมีสาเหตุจากการที่แอนนาเคยอ้างว่าได้พบกับท่านดยุคในปี 1916 ซึ่งความจริงช่วงนั้นรัสเซียกับบาวาเรียกำลังทำสงครามกัน การเอ่ยอ้างของแอนนาทำให้ท่านดยุคถูกหาว่าลอบไปเจรจาลับกับศัตรู นั่นทำให้ท่านดยุคต้องมัวหมอง


กาลต่อมา แอนนาก็เริ่ม "จำ" ชีวิตวัยเด็กได้ทีละน้อย สิ่งสำคัญที่เธอบันทึกไว้ก็คือ


"ฉัน แกรนด์ดัชเชส อนัสตาเซีย นิโคลาเยฟนาธิดาองค์เล็กและองค์เดียวของซาร์นิโคลาสที่ 2 กับเจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งรัสเซีย ผู้ล่วงลับไปแล้วขอประกาศว่า หลังจากราชวงศ์ของเราจากปีเตอร์สเบิร์กมาอยู่ไซบีเรีย และก่อนหน้าที่เสด็จพ่อและคนอื่น ๆ จะถูกปลงพระชนม์หมู่ เสด็จพ่อได้ตรัสว่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ได้ฝากเงินไว้ให้ธิดาทั้ง 3 องค์ เป็นเงินองค์ละ 5 ล้านรูเบิล ณ ธนาคารแห่งอังกฤษ"


แต่ธนาคารแห่งอังกฤษปฏิเสธในเรื่องนี้โดย สิ้นเชิง และต่อมา แอนนาก็ได้กล่าวแก้ข้อเขียนของเธอว่า จำชื่อธนาคารที่ถูกต้องไม่ได้ แต่เงินนั้นมีแน่ ๆ


หลัง ค.ศ.1920 แอนนาเดินทางไป อเมริกาหลายครั้ง และเปลี่ยนชื่อเป็นนางแอนนา แอนเดอร์สันและระหว่างที่อยู่อเมริการะยะหนึ่ง สมาชิก 12 องค์แห่งราชวงศ์โรมานอฟที่เหลืออยู่จากเชื้อพระวงศ์ซาร์ทั้งหมด 44 องค์ ก็ได้ร่วมกันลงชื่อประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าไม่ยอมรับข้ออ้างของแอนนา ซึ่งก็แน่นอนอีกเช่นกัน ในเมื่อทั้ง 12 องค์นี้มีสิทธิในผลประโยชน์ของซาร์ในอังกฤษ และคงไม่ประสงค์ให้ใครมาแบ่งเอาไป


ในบั้นปลายแห่งชีวิต แอนนา แอนเดอร์สันได้เดินทางมาพำนักยังกระท่อมทหารเก่าที่แบล็คฟอเรสท์ ,เยอรมนี อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังกับเพื่อนหนึ่งคน ในปี 1974 เธอจึงแต่งงานใหม่กับชาวอเมริกัน แล้วกลับไปพำนักอย่างถาวรในสหรัฐ


เรื่องราวของเธอนั้นโด่งดังไปทั่วโลก มีหนังสือเกี่ยวกับเธอพิมพ์ขายนับไม่ถ้วน ฮอลลีวู้ดเอาเรื่องของเธอไปทำหนัง นำแสดงโดย อินกริด เบิร์กแมน กับ ยูลบวินเนอร์ แม้กระทั่ง แพ็ต บูน ก็เคยร้องเพลง "อนัสตาเซีย" ซึ่งฟังหวานลึกลับและวังเวงใจ ดุ จ เ ดี ย ว กั บ ชี วิ ต ข อ ง เ ธ อ ...




Posted by Parn
ที่มา Postjung.com

ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ♚ [ The best country to live in the world ✈ ✈ ]

 Wellington, New Zealand

เวลลิ่งตัน เป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเหนือ มีประชากรประมาณ 393,400 คน ในปี 2010 Mercer ได้จัดอันดับให้เมืองเวลลิ่งตันเป็นเมืองที่น่าอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก ในปี 2011 Lonely Planet ได้จัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 4 ใน 10 เมืองน่าไปเยือนที่สุดของโลก



Singapore, Singapore

สิงค์โปร์ หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณะรัฐสิงค์โปร์ ( Republic of Singapore ) อยู่ทางตอนใต้ของประเทศในกลุ่มอาเซียน หรือเหนือเส้นศูนย์สูตร 137 กม. สิงค์โปร์ประกอบไปด้วยเกาะ 63 เกาะ สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีระเบียบวินัย และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งคัด และมีการพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด




Stockholm, Sweden


สต๊อกโฮม เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของสวีเดน และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในคาบสมุทรสแกนดิเนเวียด้วย ในปี 2010 สต๊อกโฮมมีประชากรในเขตเทศบาล 864,324 คน ในเขตเมืองอีก 1.4 ล้านคน และรอบๆในพื้นที่ 6,519 ตร.กม.อีก 2.1 ล้านคน 

สต๊อกโฮมได้รับการจัดอันดับที่ 24 ของโลก อันดับที่ 10 ของยุโรป และอันดับที่หนึ่งของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุด ในปี 2008



Vienna, Austria


เวียนนา เป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย มีประชากรประมาณ 1.7 ล้าน และ 2.4 ล้านคนอยู่ในเขตรอบๆเมือง ซึ่งคิดเป็น 25% ของเป็นประชากรชาวออสเตรีย 

เมืองเวียนนายังเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรม การเมือง ทางเศรษฐกิจ ยังเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 10 (เมื่อเทียบจากจำนวนประชากร) ในสหภาพยุโรป นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งขององค์กรต่างๆของโลกมากมาย 

เวียนนาอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ใกล้กับสาธารณรัฐ เชค, สโลวาเกีย, และฮังการี เวียนนาได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่, เมืองทางวัฒนธรรม, และอื่นๆ ในระดับต้นๆของโลกมาหลายปี..... ในปี 2001 ใจกลางของเมืองเวียนนาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย.

Zurich, Switzerland


ซูริค เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตส์เซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศ บนฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซูริค มีประชากร (ในเขตเทศบาล) ประมาณ 380, 500 คน และรอบๆเมืองอีก 2 ล้านคน เมืองซูริคเป็นศูนย์กลางการเงินและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังเป็นศูนย์กลางของการวิจัยของหลายๆสถาบันด้วย 

ในปี 2006 และ 2008 เมืองซูริคได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก และเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรป นอกจากนี้เมืองซูริคยังเป็นเมืองที่ตั้งของโรงละครที่ใช้ภาษาเยอรมันที่สำคัญที่สุดของโลกอีกด้วย



 Bern, Switzerland 


เมืองเบอร์น ประเทศสวิตส์เซอร์แลนด์ ในปี 2010 เมืองเบอร์นมีประชากร 133,920 คน ซึ่งเป็นเมืองที่มีพลเมืองมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศสวิตซ์เซอร์แลนด์ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการที่เมืองนี้คือภาษาเยอร์มัน

ในปี 1983 เมืองเก่าย่านใจกลางเมืองเบอร์นได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก และปี 2010 เบอร์นก็ได้รับการจัดอันดับให้ติด 10 อันดับแรกของเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกด้วย





 Luxembourg, Luxembourg


ลักเซมเบอร์ก เป็นทั้งชื่อเมืองและประเทศ ตั้งอยู่ระหว่างรั่งเศส สวิตเซอร์แลนดื และเยอรมัน เมืองลักเซมเบอร์กมั่งคั่งจากการเป็นกลางการธนาคาร การบริหารของยุโรป 

จากการสำรวจในปี 2009 ปรากฏว่าชาวลักเซมเบอร์กมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก คือ 79,600 USD / คน ในปี 2011 Mercer ทั่วโลกได้ทำการสำรวจเพื่อจัดอันดับจากทั้งหมด 221 เมืองทั่วโลก และลักซ์เซมเบอร์กได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่มีความปลอดภัย น่าอยู่อันดับที่ 1
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศนี้ >> Click <<
Posted by Parn 
ขอขอบคุณ :: http://www.bloggang.com